7 อาหารยอดนิยม ที่ซ่อน น้ำตาลไว้มากกว่าที่คุณคิด

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าผู้หญิงควรบริโภค น้ำตาล เพียง 24 กรัมต่อวัน ในขณะที่ผู้ชายควรได้รับสูงสุด 36 กรัม แต่คุณรู้หรือไม่ว่า…โซดากระป๋องมีน้ำตาลเกือบ 40 กรัมอยู่แล้ว? ทุกคนรู้ดีอยู่แล้วว่าน้ำอัดลมมีน้ำตาลสูง แต่ยังมีหลายคนที่ไม่ทราบว่าซุปมะเขือเทศกระป๋องมีน้ำตาลมากถึง 20 กรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค และน้ำแอปเปิ้ล แม้จะติดฉลากว่าไม่หวาน แต่มันมีน้ำตาลมากถึง 25 กรัมต่อถ้วยเลยทีเดียว รวมถึงอาหารบางชนิดที่เราเคยคิดว่า เป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และมีน้ำตาลต่ำ นั่นอาจไม่ใช่อย่างที่คุณคิดอีกต่อไป

7 อาหารยอดนิยม ที่ซ่อน น้ำตาล ไว้มากกว่าที่คุณคิด

1. โยเกิร์ตไขมันต่ำ

แม้ว่าอาหารที่มีไขมันต่ำอาจดึงดูดผู้ที่ต้องการมีสุขภาพดี แต่ก็ไม่ใช่ว่าทั้งหมดจะดีสำหรับคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงโยเกิร์ต โยเกิร์ตธรรมดาจะเต็มไปด้วยไขมันและน้ำตาล 4.7 กรัม ในขณะที่กรีกโยเกิร์ตหนึ่งถ้วยอาจมีน้ำตาลได้มากถึง 6 ถึง 12 กรัม ที่เป็นเช่นนี้เพราะการเติมน้ำตาลเป็นตัวเลือกที่ใช้เพื่อชดเชยการสูญเสียรสชาติ นอกจากนี้โยเกิร์ตไขมันต่ำอาจปรุงแต่งด้วยรสชาติหลายชนิด รวมถึงอาจมีสารให้ความหวานในรูปแบบที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น ซูโครสหรือน้ำเชื่อมข้าวโพดฟรุกโตสสูง

2. น้ำสลัดไร้ไขมัน

เช่นเดียวกับโยเกิร์ต น้ำสลัดที่มีไขมันและแคลอรี่น้อยจะมีปริมาณน้ำตาลเพิ่มขึ้น น้ำสลัดที่คุณชอบซื้อตามร้าน 2 ช้อนโต๊ะอาจเติมน้ำตาลได้มากถึง 10 กรัม ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้คุณทำน้ำสลัดเองที่บ้านเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีส่วนผสมของน้ำตาล สารกันบูด หรือส่วนผสมที่ไม่ดีต่อสุขภาพอื่นๆ

น้ำสลัดเพื่อสุขภาพที่คุณสามารถทำได้เองที่บ้านง่ายๆ คือ ได้จากส่วนผสม 3 อย่าง ได้แก่ น้ำมันมะกอก น้ำส้มสายชู 2 ส่วน เกลือและพริกไทย

3. ผลไม้อบแห้ง

ผลไม้แห้ง ถือเป็นอาหารว่างที่ดีต่อสุขภาพ คล้ายกับผลไม้สด มันอุดมไปด้วยวิตามิน ไฟเบอร์ และสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างไรก็ตาม เมื่อผลไม้ถูกคายน้ำ ปริมาณน้ำจะถูกลบออก ปล่อยให้น้ำตาลทั้งหมดอัดแน่นในผลไม้ที่เหี่ยวแห้ง ทำให้พวกมันมีน้ำตาลธรรมชาติสูงมาก

4. ซุปกระป๋อง

คุณอาจคิดว่าซุปผักที่ซื้อจากร้านนั้นดีต่อสุขภาพ และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง แต่เมื่อคุณลองดูข้อมูลโภชนาการ คุณจะสังเกตเห็นว่าปริมาณน้ำตาลในกระป๋องเดียว สามารถครอบคลุมปริมาณน้ำตาลทั้งหมดที่คุณต้องการในแต่ละวันเลยทีเดียว แต่นี่เป็นเรื่องปกติโดยเฉพาะอย่างยิ่งในซอสที่ทำจากมะเขือเทศ เนื่องจากน้ำตาลถูกใช้เพื่อทำให้ความเป็นกรดของมะเขือเทศสมดุล



5. ซอสมะเขือเทศ

ซอสขวดนี้เป็นเครื่องปรุงรสที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ซอสมะเขือเทศมีรสหวาน เปรี้ยวผสมกัน ซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุดในเบอร์เกอร์ ฟาสต์ฟู้ด และเป็นน้ำจิ้มสำหรับเฟรนช์ฟรายส์ อย่างไรก็ตาม ซอสมะเขือเทศหนึ่งช้อนโต๊ะเทียบเท่ากับการใส่น้ำตาลทั้งก้อนในปากของคุณ โดยมีน้ำตาลประมาณ 4 กรัมต่อช้อนโต๊ะ และซอสมะเขือเทศในเชิงพาณิชย์ส่วนใหญ่มีน้ำเชื่อมข้าวโพดฟรุกโตสสูงจำนวนมาก ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับโรคอ้วนและโรคหัวใจ

6. เนยถั่ว

เนยถั่วเป็นแหล่งโปรตีนยอดนิยม และเป็นวัตถุดิบหลักในตู้กับข้าวของคนรักสุขภาพ แม้ว่าเนยถั่วชนิดธรรมชาติจะมีน้ำตาลเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยก็ตาม แต่เนยถั่วในเชิงพาณิชย์จำนวนมากนั้นเต็มไปด้วยน้ำมันที่ไม่ดีต่อสุขภาพและน้ำตาลที่เติมเข้าไป ที่อาจนำไปสู่อันตรายได้ แบรนด์ยอดนิยมบางยี่ห้ออาจมีน้ำตาลได้มากถึง 8 กรัมต่อ 2 ช้อนโต๊ะ นักโภชนาการแนะนำให้อ่านฉลากส่วนผสมของเนยถั่ว เพื่อดูว่าอันไหนเป็นธรรมชาติและดีต่อสุขภาพมากที่สุด

7. มันฝรั่งทอด

มันฝรั่งทอดแผ่นโปรดหนึ่งถุงสามารถมีน้ำตาลได้ประมาณ 3% -5% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมันฝรั่งทอดที่มีรสชาติ มันฝรั่งทอดรสบาร์บีคิว 15 ชิ้นอาจมีน้ำตาลได้ 2 กรัม มันฝรั่งทอดยังมีคาร์โบไฮเดรตสูง ซึ่งร่างกายของคุณจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลที่เรียกว่ากลูโคส นักโภชนาการแนะนำว่าควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะเพื่อป้องกันการเจ็บป่วย

แล้วอาหารที่มีน้ำตาลสูงชนิดใด…ที่ทำให้คุณประหลาดใจมากที่สุด ?

หากเรากิน อะโวคาโด ทุกวัน อาจเกิดสิ่งนี้

นักวิทยาศาสตร์สามารถวัดผลของการกิน อะโวคาโด ในลำไส้ได้ และผลลัพธ์อาจทำให้คุณเปลี่ยนอาหารได้ เนื่องจากมันมีอิทธิพลต่อสุขภาพและลำไส้ของคุณ

อะโวคาโด ดีอย่างไร?

ลำไส้ของคนเราเป็นโลกแห่งแบคทีเรีย

ลำไส้มีแบคทีเรียจำนวนมากที่สุดในร่างกายของเรา และสามารถมีได้มากถึง 1,000 ชนิด แต่อย่าตกใจไป ส่วนใหญ่เป็นแบคทีเรียชนิดดีสำหรับเรา และป้องกันการพัฒนาของจุลินทรีย์และการติดเชื้อ โดยปกติคนเราจะมีแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์มากกว่าแบคทีเรียที่เป็นอันตรายถึง 4 เท่า และนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบวิธีที่จะทำให้ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้น

ความลับที่เราจะบอกต่อ…

อะโวคาโดกลายเป็นตัวเปลี่ยนเกม การวิจัยใหม่พบว่าการกินผลไม้ชนิดนี้ทุกวันมีผลดีต่อระบบทางเดินอาหาร มันไม่เพียงเพิ่มจำนวนของแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์และปรับปรุงลำไส้ แต่ยังช่วยลดกรดน้ำดีและเพิ่มกรดไขมันและอะซิเตท



มีความหมายต่อสุขภาพของเราอย่างไร…?

ผลการวิจัยพบว่าการกินอะโวคาโดทุกวัน ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและช่วยให้คุณห่างไกลจากโรคร้ายแรงต่างๆ เช่น มะเร็ง เบาหวาน และโรคหลอดเลือดหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยให้ลำไส้ของคุณสมดุล

อะโวคาโดจำเป็นแค่ไหน

คุณไม่จำเป็นต้องกินอะโวคาโดทั้งลูกทุกวัน ผู้หญิงอาจกิน 140 กรัม ผู้ชายก็กินได้ 175 กรัม เพิ่มเป็นหนึ่งมื้อต่อวัน แต่ควรรู้ไว้ว่าอะโวคาโดเพียงอย่างเดียวจะไม่ทำสิ่งมหัศจรรย์สำหรับลำไส้ ดังนั้นเพื่อให้แน่ใจว่าอาหารของคุณมีความสมดุลและไม่ลืมที่จะออกกำลังกาย

แล้วคุณหล่ะกินอะโวคาโดบ่อยแค่ไหน? คุณรู้เคล็ดลับเพื่อสุขภาพอื่น ๆ อีกบ้างไหม? คุณสามารถแบ่งปันข้อมูลกับเราได้ในช่องแสดงความคิดเห็นด้านล่าง…

เกิด 11 สิ่งนี้ กับร่างกายคุณ เมื่อคุณกินเนื้อสัตว์มากเกินไป

แม้ว่า เนื้อสัตว์ เป็นส่วนสำคัญของอาหาร แต่การกินมากเกินไป…อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณ ไม่ได้หมายความว่าคุณควรตัดสเต็กอร่อยๆ หรือเลิกทานเนื้อสัตว์เหล่านั้นให้หมด เราแค่อยากให้ทราบว่า การบริโภคเนื้อสัตว์ที่มากเกินไป สามารถทำอะไรกับร่างกายของคุณได้บ้าง

และนี่คือความเสี่ยง 11 ประการ ที่คุณอาจพบได้ หากว่าคุณดื่มด่ำกับโปรตีนที่มากเกินไป

เกิด 11 สิ่งนี้ เมื่อคุณกินเนื้อสัตว์มากเกินไป

1. สามารถพัฒนาเป็นโรคนิ่วในไต

โปรตีนจากสัตว์มีสารประกอบจำนวนมากที่เรียกว่าพิวรีน สารเหล่านี้จะแตกตัวเป็นกรดยูริก และถ้าคุณมีกรดนี้มากเกินไป อาจทำให้เกิดนิ่วในไตได้ คุณสามารถหลีกเลี่ยงสิ่งนี้ได้ด้วยการจำกัดการบริโภคเนื้อสัตว์และดื่มน้ำปริมาณมากและเพียงพอในแต่ละวัน

2. ร่างกายคุณอาจขาดน้ำได้

การที่ร่างกายได้รับกรดยูริกที่มีอยู่ในเนื้อสัตว์ที่มากเกินไป อาจทำให้คุณรู้สึกกระหายน้ำมากกว่าปกติ เนื่องจากไตของคุณต้องการน้ำเพื่อเจือจางของเสียที่เป็นพิษ ดังนั้นให้แน่ใจว่าคุณมีน้ำเพียงพออยู่ในร่างกาย

3. คุณอาจท้องผูกได้

อาหารที่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบหลักมีโปรตีนสูง แต่มีไฟเบอร์ไม่มากนัก โดยปกติคุณจะได้รับเส้นใยจากผลไม้ ผัก หรือธัญพืชเต็มเมล็ด ดังนั้นอย่าลืมรวมหมวดหมู่อาหารเหล่านี้ไว้ในอาหารของคุณ อาการท้องผูกอาจเป็นสัญญาณแรกที่บ่งบอกว่าปริมาณไฟเบอร์ของคุณต่ำเกินไป ดังนั้นควรเพิ่มสลัดผักและผลไม้ในมื้ออาหารของคุณบ้าง

4. คุณอาจปวดหัวได้

การขาดน้ำอาจทำให้เกิดอาการปวดหัวได้ เนื่องจากเลือดข้นขึ้น ซึ่งหมายความว่าการไหลเวียนของออกซิเจนไปยังสมองลดลง ในทางกลับกัน ผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์บางชนิด เช่น ฮอทด็อกมีไนเตรต ซึ่งสามารถเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมองได้

5. คุณอาจมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ

ยิ่งคุณมีไฟเบอร์ในอาหารมากเท่าไร หัวใจของคุณก็ยิ่งได้รับการปกป้องมากขึ้นเท่านั้น หากคุณกินเนื้อสัตว์เป็นส่วนใหญ่ แสดงว่าคุณไม่มีไฟเบอร์สูง โดยเฉพาะเนื้อแดงสามารถทำร้ายหัวใจคุณได้ มันสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาหัวใจได้ถึง 3 เท่า และมีไขมันอิ่มตัวจำนวนมาก ซึ่งไขมันอิ่มตัวจะเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL)

6. คุณอาจป่วยบ่อยขึ้น

ไขมันอิ่มตัวที่มีอยู่ในเนื้อแดงและเนื้อแปรรูป ไม่มีสารต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็นสำหรับร่างกายในการเอาชนะการอักเสบใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับร่างกายได้ คุณจะพบสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้และผักเป็นส่วนใหญ่ ด้วยเหตุนี้การรับประทานอาหารที่ “มีสีสัน” จึงเป็นสิ่งสำคัญ สีของผลไม้บางชนิดเป็นสีของสารต้านอนุมูลอิสระบางกลุ่ม



7. คุณอาจมีกลิ่นปาก

อาหารที่ประกอบด้วยโปรตีนและไขมันสูงมาก แต่ขาดคาร์โบไฮเดรต อาจทำให้ร่างกายผลิตคีโตนได้ คีโตนถูกปล่อยออกมาทางลมหายใจและมีกลิ่นเหมือนอะซิโตน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม หากคุณเคยทานอาหารคีโต คุณอาจประสบปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ ดังนั้นให้แน่ใจว่าร่างกายของคุณได้รับคาร์โบไฮเดรตเพียงพอ

8. คุณอาจมีปัญหาเรื่องเส้นผมและผิวหนัง

ผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์แทบไม่มีวิตามินซีเลย วิตามินซีมีบทบาทสำคัญในการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่ทำให้ผิว ผม เล็บ กระดูก และอื่นๆ ดูดีขึ้นมาก หากคุณสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงประสงค์กับเส้นผมและผิวหนังของคุณ คุณอาจต้องพิจารณาเรื่องอาหารใหม่และงดการกินเนื้อสัตว์

9. คุณอาจมีกระดูกที่อ่อนแอ

โปรตีนในปริมาณมากสามารถเพิ่มการสูญเสียแคลเซียมในปัสสาวะได้ และแคลเซียมก็จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับกระดูกที่แข็งแรง ร่างกายของคุณไม่ได้ผลิตแคลเซียม มันได้รับจากอาหารที่คุณกินหรือจากอาหารเสริมเท่านั้น หากไม่เพียงพอ กระดูกของคุณก็จะอ่อนแอ

10. คุณรู้สึกเหนื่อยมากขึ้น

อาหารที่มีเนื้อสัตว์นั้นย่อยยาก นั่นคือเหตุผลที่ร่างกายของคุณต้องใช้ความพยายามมากขึ้นในการย่อยเนื้อ และนั่นเป็นสาเหตุที่คุณอาจรู้สึกเฉื่อยเล็กน้อยหลังจากทานของหนัก

11. คุณอาจมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การงดทานเนื้อสัตว์ ยังส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมด้วย คุณสามารถมีส่วนสำคัญในการลดก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากจะใช้ที่ดินน้อยลงและใช้ปศุสัตว์น้อยลง ลองนึกภาพถ้าเราทุกคนเลือกทำเช่นนั้น เราทุกคนจะมีชีวิตที่ยั่งยืนมากขึ้น

คุณมีอาการใดต่อไปนี้ระหว่างการทานเนื้อสัตว์บ้าง… และคุณคิดว่าร่างกายของคุณจะพบการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างเมื่อคุณเปลี่ยนอาหาร?

จะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของคุณหากคุณสวม เสื้อชั้นใน ทุกวัน

ปัจจุบัน เสื้อชั้นใน มีรูปทรงและการออกแบบที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อเอาใจผู้หญิงทุกคนที่สวมใส่ มันดูดีและทันสมัยมากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากการสวมใส่เพื่อทำให้คุณดูดีแล้ว เสื้อชั้นใน ยังถูกทำขึ้นเพื่อประโยชน์ที่หลากหลาย

จะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของคุณหากคุณสวม เสื้อชั้นใน ทุกวัน

1. ช่วยปรับกระดูกสันหลังของคุณให้ดีขึ้น

น้ำหนักของหน้าอกอาจทำให้รู้สึกไม่สบาย อาจส่งผลกระทบต่อท่าทางและกระดูกสันหลังของคุณ การสวมเสื้อชั้นในอาจช่วยพยุงให้คุณมีท่าทางที่ดีขึ้น และช่วยลดปัญหาเกี่ยวกับกระดูกสันหลังได้

2. บรรเทาความเจ็บสำหรับคุณแม่ที่ให้นมบุตร

หากคุณแม่ทั้งหลายรู้สึกเจ็บเต้านม อาจเลือกสวมเสื้อชั้นในที่สวมใส่สบายในช่วงให้นมบุตรเพื่อการรองรับที่ดีขึ้นและเพื่อหลีกเลี่ยงความเจ็บ เมื่อมีอาการคัดตึงเต้านม  และคุณแม่อาจต้องสวมเสื้อชั้นในเพื่อใส่แผ่นซับรองการรั่วของน้ำนม



3. ช่วยเพิ่มความมั่นใจ

นางแบบและนักธุรกิจชื่อดัง Dita von Teese เคยกล่าวไว้ว่า ” อย่าลืมเก็บชุดชั้นในตัวเก่งของคุณไว้ออกเดทด้วย ” สิ่งที่เราได้รับจากเธอคือข้อความที่เราทุกคนควรยอมรับ (และได้รับการพิสูจน์แล้ว) ที่จะบอกว่าถ้าคุณรู้สึกสวยและมั่นใจเมื่อสวมชุดชั้นในตัวเก่งของคุณ จะทำให้คุณมีความพร้อมสำหรับวันสำคัญนั้นๆ มากขึ้นทันที

4. ช่วยลดอาการปวดหลังและคอ

คุณอาจเคยได้ยินมาว่าหน้าอกที่ใหญ่อาจส่งผลต่อหลังและคอของคุณได้ น่าเสียดายที่การมีหน้าอกที่ใหญ่ขึ้น อาจทำให้เกิดอาการปวดคอ หลังและไหล่ การสวมชุดชั้นในที่สบายและกระชับ อาจช่วยให้คุณบรรเทาอาการปวดนี้ได้

5. คุณจะดูทันสมัย

คุณพยายามปกปิดสายเสื้อชั้นในอยู่เสมอหรือไม่? ไม่ต้องกลัวอีกต่อไป มีกระแสแฟชั่นที่เพิ่มมากขึ้นซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงหลายคนโชว์เสื้อชั้นในอย่างมีสไตล์ ในกรณีนี้ให้เลือกชุดชั้นในที่ดูดีและจับคู่กับกระโปรงหรือกางเกงเอวสูง แล้วจะเห็นว่ามันดูดีแค่ไหน!

6. ลดอาการบาดเจ็บของหน้าอก ระหว่างออกกำลังกาย

น่าเสียดายที่เด็กหญิงและสตรีบางคน มีอาการเจ็บเต้านมระหว่างออกกำลังกาย สิ่งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากการเคลื่อนไหวของเนื้อเยื่อเต้านมในระหว่างการวิ่งหรือออกกำลังกาย  และวิธีแก้ที่ง่ายๆ คือการสวมใส่สปอร์ตบรา

แล้วชุดชั้นในตัวโปรดของคุณเป็นแบบไหน? คุณสามารถแบ่งปันประสบการณ์ดีๆ ใหม่ๆ กับเราได้ ในช่องแสดงความคิดเห็นด้านล่าง

7 สิ่งนี้จะเกิดขึ้นแน่นอนหากคุณ มัดผม บ่อยเกินไป

การรวบ มัดผม เป็นทรงผมที่ง่ายและรวดเร็วที่สุด สำหรับเวลาเร่งรีบ และเป็นทรงผมที่สามารถเข้าได้กับทุกชุด และทุกกิจกรรมของคุณ แต่สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าการมัดรวบผมตึงไว้ตลอดทั้งวัน คุณอาจต้องเผชิญกับปัญหาและผลข้างเคียงที่ไม่คาดคิดขึ้นได้

เกิดสิ่งนี้ขึ้นหากคุณ มัดผม บ่อยเกินไป?

มัดผม
มัดผม

1. คุณอาจเกิดไมเกรน

อาการปวดหัวจากการมัดรวบตึงผมเป็นเรื่องจริงอย่างที่คิด มันเป็นสิ่งปกติที่ทำให้เกิดความเจ็บปวด เส้นผมของคุณไม่ไวต่อความเจ็บปวดก็จริง แต่ภายใต้รูขุมขนของคุณมีเส้นประสาทที่สามารถถูกกระตุ้นได้จากการดึงที่ตึง และอาจรู้สึกถึงความเจ็บปวดได้

2. หนังศีรษะของคุณอาจเริ่มเจ็บ

เช่นเดียวกับอาการปวดหัวไมเกรน เส้นประสาทที่ถูกกระตุ้นโดยการดึงแน่นเกินไปจะทำให้หนังศีรษะของคุณเจ็บ จริงๆแล้วมันมาจากผิวหนังของหนังศีรษะ ซึ่งหมายถึงบริเวณรอบๆ รูขุมขนของเส้นผมแต่ละเส้น ดังนั้นปลายประสาทที่ติดกับเส้นผมแต่ละเส้นจึงได้รับผลกระทบอย่างแท้จริง คุณอาจสังเกตเห็นความเจ็บปวดได้ทันทีหลังจากคลายผม

3. คุณอาจมีอาการปวดหลัง

หนังศีรษะของคุณอาจเกิดความเครียดมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณมีผมหนา ความเจ็บปวดจะปรากฏขึ้นและสามารถแพร่กระจายลงไปที่คอและหลังของคุณได้ สิ่งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากคุณกระตุ้นประสาทรับความรู้สึก



4. ผิวหนังบนใบหน้าของคุณอาจยืดออก

การรวบมัดผมมากเกินไป ไม่ดีต่อผิวของคุณอย่างแน่นอน เพราะมันจะสูญเสียความยืดหยุ่น เมื่อเวลาผ่านไปคุณจะดูแก่ก่อนวัย หากคุณมัดผมแน่นทุกวัน ผิวของคุณอาจถูกดึงและยืดออกไปเร็วขึ้น

5. ผมของคุณอาจพันกัน

การมัดผมรวบตึงเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้ผมของคุณเสียดสีและตึงได้ และมักจะพันกันเวลาเราปล่อยผม

6. ผมของคุณจะพังง่ายขึ้น

ผมของคุณค่อนข้างบอบบาง ดังนั้นการดึงผมตลอดเวลาและมัดด้วยยางยืดจะไม่ทำให้ผมแข็งแรงขึ้น ความตึงอาจทำให้เส้นผมแตกได้ จะแย่ยิ่งไปกว่านั้นถ้าหากคุณเลือกที่จะนอนมัดผมแน่นทุกวัน

7. อาจมีอาการผมร่วง

ผมอาจร่วงมาก โดยเฉพาะบริเวณไรผม และเกิดขึ้นเมื่อเกิดความตึงเครียดกับเส้นผม ควรตรวจดูหนังศีรษะของคุณว่ามีเส้นผมหายไปเล็กน้อยหรือไม่

แล้วคุณหล่ะมัดรวบตึงผมบ่อยแค่ไหน? แล้วทรงผมแบบไหนที่คุณชอบ….? คุณสามารถแบ่งปันประสบการณ์กับเราได้ในช่องแสดงความคิดเห็นด้านล่าง

เกิดอะไรขึ้น หากคุณดื่ม กาแฟเป็นสิ่งแรกในตอนเช้า

กลุ่มนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเนวาดา – รีโน (University of Nevada, Reno) ค้นพบว่ากากกาแฟสามารถใช้เป็นไบโอดีเซลได้ และในอนาคตอันใกล้นี้ควันรถของคุณจะมีกลิ่นเหมือนคาปูชิโน่ที่ชงสดใหม่ แต่ กาแฟ ถ้วยแรกที่เติมพลังให้กับพวกเราในตอนเช้าอาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดในการเริ่มต้นวันใหม่ และอาจมีผลกระทบกับร่างกายของคุณ ซึ่งในความเป็นจริงแพทย์เชื่อว่าเวลาที่ดีที่สุดในการลิ้มรสกาแฟคือช่วงเวลาระหว่าง 9.30 น. ถึง 11.30 น. เมื่อคุณดื่มกาแฟตอนท้องว่างอาจเป็นการปลุกที่แท้จริง

เกิดอะไรขึ้น หากคุณดื่ม กาแฟ เป็นสิ่งแรกในตอนเช้า

1. สามารถทำให้ผิวของคุณแห้งได้

  • เนื่องจากกาแฟทำให้คุณใช้ห้องน้ำบ่อยขึ้นจึงทำให้ร่างกายขาดน้ำ เมื่อคุณขาดน้ำสารพิษจะถูกขับออกจากร่างกายทางผิวหนังได้ยากขึ้น สิ่งนี้จะทำให้ผิวแห้งและทำให้เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาต่างๆเช่นริ้วรอยก่อนวัย

2. มันอาจทำให้คุณปวดท้อง

  • แม้ว่าเครื่องดื่มที่คุณรักจะช่วยให้คุณตื่นในตอนเช้า แต่ก็อาจกระตุ้นให้คุณใช้ห้องน้ำบ่อยขึ้น ในความเป็นจริงผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์บางคนแนะนำให้ดื่มกาแฟเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการสอบบางอย่าง กาแฟจะกระตุ้นระบบประสาทของเราซึ่งจะส่งผลต่อลำไส้ใหญ่และอาจทำให้เกิดอาการท้องร่วง หลายคนชอบเติมนมหรือครีมลงในถ้วยกาแฟ ในตอนเช้าและเนื่องจากพวกเราส่วนใหญ่มีปัญหาในการย่อยแลคโตสจึงอาจทำให้ไม่สบายท้อง



3. ร่างกายอาจสูญเสียแร่ธาตุที่จำเป็นเร็วขึ้น

  • การดื่มกาแฟเป็นประจำในตอนเช้าอาจทำให้คุณสูญเสียวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นมากมาย มันสามารถทำลายการดูดซึมธาตุเหล็ก แมกนีเซียม และวิตามินบีซึ่ง มีความสำคัญต่อระบบประสาทของเรา คาเฟอีนมากเกินไปยังสามารถนำแคลเซียมออกจากกระดูกจึงทำให้กระดูกอ่อนแอและเปราะได้

4. คุณอาจรู้สึกง่วงนอน

  • กาแฟเป็นเครื่องดื่มปลุกพลังสำหรับพวกเราหลายคน แต่การดื่มทันทีที่คุณลุกจากเตียงอาจส่งผลตรงกันข้าม คาเฟอีนจะเพิ่มระดับฮอร์โมนความเครียดเป็นสองเท่า และอาจนำไปสู่ปัญหาในการนอนหลับซึ่งส่งผลให้รู้สึกเหนื่อย หากคุณเริ่มต้นวันใหม่ด้วยคาปูชิโน่พร้อมน้ำตาลคุณอาจรู้สึกง่วงนอนอีกครั้งหลังจากผ่านไปไม่นาน สิ่งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากร่างกายของเราผลิตอินซูลินเพื่อชดเชยน้ำตาลทำให้ระดับกลูโคสในเลือดของคุณลดลง ซึ่งส่งผลให้ร่างกายขาดพลังงาน

5.ทำให้เกิดความวิตกกังวลมากขึ้น

  •  เมื่อคุณตื่นนอนในตอนเช้าระดับฮอร์โมนความเครียดของคุณมักจะสูงที่สุด เนื่องจากคาเฟอีนเป็นสารกระตุ้น จึงทำให้ร่างกายของคุณมีอาการกระวนกระวายใจ และยังสามารถกระตุ้นให้เกิดอาการวิตกกังวลสำหรับบางคน

6. อาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น

  • แม้ว่ากาแฟดำอาจช่วยให้คุณเผาผลาญไขมันได้ แต่ก็สามารถทำให้รูปแบบการนอนหลับที่ดีต่อสุขภาพของคุณแย่ลงได้เช่นกัน เมื่อคุณนอนหลับไม่เพียงพอคุณมักจะรู้สึกหิวและอยากกินขนมหวานมากขึ้น เครื่องดื่มกาแฟหลายชนิดเช่นเครื่องดื่มรสหวานยอดนิยมเต็มไปด้วยน้ำตาลและแคลอรี่และอาจทำให้คุณมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น

7. อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น

  • ดื่มกาแฟในตอนเช้ามีผลต่อเซลล์ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งอาจนำไปสู่โรคต่างๆ และนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของน้ำหนักและมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อที่บริเวณผิวหนัง

คุณมักจะดื่มกาแฟแก้วแรกเมื่อใด คุณสังเกตเห็นผลข้างเคียงเหล่านี้หรือไม่?

6 เหตุผล ที่ไม่ควรใช้ โทรศัพท์มือถือ ขณะอยู่ในห้องน้ำ

จากการสำรวจของอังกฤษพบว่า ผู้คนส่วนใหญ่ใช้เวลาในการเข้าห้องน้ำเพื่อใช้ โทรศัพท์มือถือ โดยเฉลี่ยนานกว่า 3 ชั่วโมง/สัปดาห์ ซึ่งเกินกว่าที่แนะนำ ซึ่งก็คือ 10-15 นาที/วัน หรือประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที/สัปดาห์ และเราขอเตือนคุณเกี่ยวกับ 6 เหตุผลที่น่ากลัว ที่คุณไม่ควรใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำนานเกิน 15 นาที

นี่คือ 6 เหตุผล ที่ไม่ควรใช้ โทรศัพท์มือถือ ขณะอยู่ในห้องน้ำ

1. เสียสมาธิ

โทรศัพท์ไม่เพียง แต่ทำให้สมองของคุณอยู่ในโหมดเครียด แต่ยังทำให้คุณเสียสมาธิจากกิจกรรมประจำวันอีกด้วย หากคุณจำเป็นต้องหยุดพักระหว่างวัน ลองนั่งสมาธิหรือออกกำลังกายสักสองสามครั้งแทนการเล่นโทรศัพท์มือถือ

2. เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย

โทรศัพท์สามารถถ่ายโอนและรับเชื้อโรคได้ พวกมันสามารถถ่ายเทเชื้อโรคจากพื้นผิวไปยังพื้นที่ส่วนตัวของคุณได้ เมื่อคุณเช็ดหรือจับโทรศัพท์ นอกจากนี้ยังสามารถดูดเชื้อโรคจากพื้นผิวห้องน้ำในขณะที่คุณล้างมืออีกด้วย

การศึกษาพบว่าโทรศัพท์มีหน้าที่ในการแพร่กระจายเชื้อโรค และนี่อาจหมายความว่าคุณเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย โดยเฉพาะผู้ที่ป่วยหรือสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง

3. ปัญหาทางทวารหนัก

ตามที่แพทย์ระบุว่า การนั่งที่ใดตั้งแต่ 1 ถึง 15 นาทีถือเป็นเรื่องปกติ แต่การใช้เวลานานกว่านั้นจะทำให้เกิดแรงกดดันต่อทวารหนักโดยไม่จำเป็น และโรคริดสีดวงทวารเป็นอาการที่ร้ายแรงที่สุดอย่างหนึ่ง ตามมาด้วยอาการห้อยยานของทวารหนัก

4. เสียเวลา

จากการวิจัยเราทุกคนใช้เวลาในห้องน้ำ ไปกับโทรศัพท์โดยเฉลี่ย 90 นาทีต่อวัน ซึ่งเป็นเวลาประมาณ 3.9 ปี ในช่วงชีวิตของเรา ซึ่งหมายความว่าโทรศัพท์สามารถทำให้เราเสียสมาธิจากงานและกิจกรรมประจำวันของเรา

5. เสียสุขภาพจิต

การศึกษาในปี 2559 พบว่าผู้เข้าร่วมหลายคนใช้โทรศัพท์ในห้องน้ำเพื่อระงับความรู้สึกและอารมณ์เชิงลบ นอกจากนี้การศึกษาเดียวกันพบว่านักเรียนหรือนักศึกษาใช้โทรศัพท์เพื่อต่อสู้กับความเบื่อหน่าย ด้วยเหตุนี้การใช้โทรศัพท์อย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพจิตของเรา

6. ภาวะซึมเศร้า

หนึ่งใน 3 อาการหลักของการติดโทรศัพท์คือ ความกลัวที่จะออกจากบ้านโดยไม่มีโทรศัพท์ และกลัวว่าจะส่งหรือรับข้อความไม่ได้ ซึ่งอาจจะทำให้รู้สึกผิด ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์หลายคนยังคงไม่ใช้คำว่า“ การเสพติด” แต่นี่ก็เป็นข้อบ่งชี้ว่าคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง

การเสพติดส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการส่งสารโดพามีน และโทรศัพท์มอบประสบการณ์ความรู้สึกที่ดีเช่นเดียวกัน โดยผู้ใช้มีความสุขทุกครั้งที่โต้ตอบกับใครบางคน แต่ผลลัพธ์ด้านลบของการใช้โทรศัพท์มากเกินไป ได้แก่ ความนับถือตนเองในระดับต่ำ ความวิตกกังวล และแม้แต่ภาวะซึมเศร้า

คุณได้ลองลดเวลาอยู่ในห้องน้ำแล้วหรือยัง และสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงใดๆ กับสุขภาพโดยรวมของคุณหรือไม่?

10 อาหารช่วยลดและป้องกัน โรคเครียด

โรคเครียด เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ใครหลายคนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ หลายครั้งที่ต้องตกอยู่ในสภาวะเครียดอย่างหลีกไม่พ้น และทราบหรือไม่ว่าโดยธรรมชาติของมนุษย์แล้ว จะสามารถทนต่อความเครียดได้เพียงแค่ในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่หากผู้ใดที่มีความเครียดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และปล่อยให้สะสมมากเกินกว่าที่รับไหว มันจะกลายเป็นภัยเงียบที่ส่งผลต่อสุขภาพทางร่างกาย และจิตใจ โดยที่คุณไม่รู้ตัว แต่เราสามารถลดความเครียดได้ด้วยการทานอาหารเหล่านี้

10 อาหารช่วยลดและป้องกัน โรคเครียด

1. อโวคาโด

อโวคาโด อุมไปด้วย โปรตีน วิตามิน C และวิตามิน E รวมถึงยังช่วยบำรุงสมอง และระบบประสาท จึงช่วยลดความเครียด และลดความเสี่ยงการเกิดโรคอัลไซเมอร์

 2. ส้ม

มีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีส่วนช่วยลดความเครียด รวมถึงเปลือกของส้ม มีสารระเหยที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย สดชื่น จึงทำให้อารมณ์ดี

3. ข้าวกล้อง

ข้าวกล้องอุดมไปด้วยวิตามิน B,  ใยอาหาร, แคลเซียม และสังกะสี ซึ่งช่วยลดอาการซึมเศร้า และไม่ทำให้หงุดหงิดง่าย

4. ปลาแซลมอน

มีกรดไขมันโอเมก้า 3 หากทานปลาแซลมอน เป็นประจำ จะช่วยทำให้ผ่อนคลาย ทำให้อารมณ์ดี จึงช่วยบรรเทาความเครียดลง ซึ่งความเครียด เป็นต้นเหตุที่ก่อให้เกิดอาการซึมเศร้า

5. ผักโขม

สารต้านอนุมูลอิสระในผักโขม เป็นส่วนสำคัญในการช่วยลดความเครียดออกซิเดชั่น และช่วยลดความเสียหาย ที่เกิดจากความเครียด

6. อัลมอนด์

เนื่องจากอัลมอนด์อุดมด้วยวิตามินบี และแมกนีเซียม จึงช่วยสร้างเซโรโทนิน ทำให้อารมณ์ดี รู้สึกผ่อนคลาย รวมถึงมีวิตามินอีที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระที่เกี่ยวเนื่องกับความเครียด และโรคหัวใจ

7. ชาเขียว

มีสารต้านอนุมูลอิสระ (Polyphenol, Flavanoid และ Catechins)  ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระ เป็นส่วนสำคัญในการช่วยลดความเครียดออกซิเดชั่น และช่วยลดความเสียหาย ที่เกิดจากความเครียด

8. นม

มีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน A, วิตามิน D, แคลเซียม และโปรตีน ที่เป็นส่วนสำคัญในการช่วยลดความเครียด และงานวิจัยส่วนใหญ่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นม ยังแสดงให้เห็นว่านมมีประโยชน์ต่อสุขภาพของกระดูก สุขภาพหัวใจ และหลอดเลือด

9. บลูเบอร์รี่

บลูเบอร์รี่นั้นเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และวิตามินซี ซึ่งช่วยผ่อนคลายความเครียดลงได้  และยังช่วยป้องกันร่างกายจากผลกระทบของความเครียดอีกด้วย

10. ดาร์กช็อคโกแล็ต

ในช็อคโกแลตมีคาเฟอีน  และสารที่มีฤทธิ์ช่วยกระตุ้น ให้รู้สึกผ่อนคลาย ทานแล้วทำให้รู้สึกอารมณ์ดี จึงสามารถช่วยลดความตึงเครียดได้ดี อีกทั้งยังมีส่วนช่วยป้องกัน การเกิดภาวะซึมเศร้า และความผิดปกติทางจิต ได้อีกด้วย

เพราะการดำเนินชีวิต ในสังคมปัจจุบันที่มีการแข่งขันสูง ทำให้ภาวะความเครียด ทวีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อมนุษย์จำนวนมาก ฉะนั้นในเมื่อหลีกเลี่ยง จากภาวะความเครียดได้ยาก ก็ควรหาตัวช่วย หรือวิธีบรรเทาความเครียดลงบ้าง ซึ่งการเลือกรับประทานอาหารที่มีส่วนช่วยบรรเทาความเครียด ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยได้

9 วิธี กระชับผิว ป้องกันผิวหย่อนคล้อย

เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ความหย่อนคล้อยของผิวอาจเป็นปัญหาที่คุณกำลังต้องเผชิญอยู่ เนื่องจากอายุที่มากขึ้น ส่งผลทำให้ร่างกายของคนเราเริ่มสูญเสียโปรตีนที่มีผลต่อความยืดหยุ่นของผิวหนัง อย่างไรก็ตาม ปัญหาของผิวหนังหย่อนคล้อยอาจเกิดจากปัจจัยบางอย่างได้ด้วยเช่นกัน เช่น การได้รับแสงแดดที่มากเกินไป ยิ่งเร่งกระบวนการทำให้ร่างกายสูญเสียโปรตีนเร็วขึ้น รวมถึงการลดน้ำหนักที่ดูเหมือนจะส่งผลที่ดีต่อสุขภาพ แต่ความจริงแล้วการลดน้ำหนักที่รวดเร็วเป็นวิธีที่ผิด ที่สามารถทำร้ายผิวของเราได้เช่นกัน ดังนั้นการหาวิธี กระชับผิว จึงเป็นสิ่งสำคัญที่คุณควรตระหนักถึง

เราจึงมีเคล็ดลับที่ดี ที่จะบอกต่อให้กับคุณ เพื่อให้ผิวของคุณกลับมาเต่งตึง ได้ใหม่อีกครั้ง

9 วิธี กระชับผิว ป้องกันผิวหย่อนคล้อย

1. ฝึกโยคะและพิลาทิส (Pilates) 

สิ่งนี้ได้ผลที่ดีกับผู้ที่ไม่ได้เล่นกีฬา แต่ต้องการออกกำลังกายกล้ามเนื้อ ทั้งโยคะและพิลาทิสเป็นตัวเลือกที่ดี และมีประสิทธิภาพเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรงและกระชับ รวมถึงจะส่งผลให้ผิวของคุณกระชับขึ้นด้วย และยังเป็นโบนัสกับร่างกายที่ฟิตและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นของคุณด้วย

2. ออกกำลังกายกล้ามเนื้อ

การออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก มีความเป็นไปได้ที่คุณจะสูญเสียกล้ามเนื้อไปด้วย และนั่นจะส่งผลให้คุณมีผิวหนังที่หย่อนยานลง แต่อย่างไรก็ตามการออกกำลังกายเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ จะช่วยให้ร่างกายของคุณมีกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นและไขมันลดลงในเวลาเดียวกัน ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ผิวของคุณดูเต่งตึงและกระชับมากยิ่งขึ้น

3. หลีกเลี่ยงการอดอาหารเพื่อลดน้ำหนัก

แทนที่จะงดรับประทานอาหารอย่างเร่งด่วน คุณควรลดน้ำหนักทีละน้อย เนื่องจากเมื่อคุณสูญเสียไขมันไปพร้อมกับกล้ามเนื้อ คุณจะมีผิวหนังที่หย่อนยานขึ้นมาก คุณควรมุ่งมั่นที่จะลดน้ำหนักไม่เกิน 0.5 ถึง 1กิโลกรัมต่อสัปดาห์ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวของคุณหย่อนคล้อย

4. วิธีธรรมชาติบำบัด

แตงกวา เป็นผักที่มีน้ำสูง ซึ่งช่วยปรับสีผิวและทำให้ผิวชุ่มชื้น

วิธีใช้: สกัดน้ำออกจากแตงกวา แล้วนำมาถูลงบนผิวบริเวณที่แห้งและหย่อนยาน จากนั้นปล่อยทิ้งให้แห้ง แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด

มะนาว ช่วยเพิ่ม และผลิตคอลลาเจน ซึ่งทำให้ผิวเรียบเนียนและกระชับมากขึ้น

วิธีใช้: ชโลมน้ำมะนาวให้ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณที่ผิวมีปัญหาหย่อนคล้อย



ว่านหางจระเข้ จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า มันทำงานได้อย่างมหัศจรรย์บนผิวหนัง มันช่วยสมานแผลและรอยไหม้และยังทำหน้าที่เป็นมอยส์เจอร์ไรเซอร์ ดังนั้นการใช้เจลว่านหางจระเข้ จะส่งผลที่ดีอย่างมากต่อผิวที่หย่อนยาน และแห้งกร้าน

วิธีใช้ โดยนำเนื้อเจลในว่านหางจระเข้ออกมา จากนั้นทาลงบนผิวโดยตรงทิ้งไว้ 15-20 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด

5. การใช้คลื่นความถี่วิทยุ

คลื่นวิทยุเป็นหนึ่งในวิธีที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เพื่อใช้ในการรักษาริ้วรอยของผิวหนัง จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่ามันเป็นขั้นตอนที่ดี ที่สามารถใช้เพื่อกระชับและฟื้นฟูผิวและปรับสภาพผิวหน้าที่หย่อนยานได้ คุณอาจต้องรักษาซ้ำหลายครั้ง และขั้นตอนนี้ค่อนข้างปลอดภัย

6. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

เมื่ออายุมากขึ้นผิวของเราจะสูญเสียความยืดหยุ่น ซึ่งนำไปสู่การเกิดริ้วรอย และจากการศึกษามักเกิดขึ้นได้สูงมากกับผู้ที่มีผิวแห้ง นั่นคือเหตุผลที่คุณควรดื่มน้ำเพื่อรักษาความยืดหยุ่นของผิวซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และคุณควรตรวจสอบให้แน่ใจเสมอว่า ร่างกายของคุณได้รับน้ำอย่างเพียงพอในแต่ละวัน

7. ว่ายน้ำเป็นประจำ

เมื่อเราว่ายน้ำและขยับแขน เราจะออกกำลังกายแบบใช้แรงต้าน ซึ่งจากการศึกษาชี้ให้เห็นว่ามันมีประสิทธิภาพมากในการปรับปรุงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เพราะกล้ามเนื้อที่แข็งแรงหมายถึงผิวที่กระชับ และมีสุขภาพดี

8. ปรนนิบัติผิวของคุณ

ระวังว่าคุณใช้แชมพู สบู่ และน้ำยาล้างจานแบบไหน หลายตัวมีซัลเฟตที่ทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองทำให้ผิวยืดหยุ่นน้อยลง และการตากแดด และน้ำที่มีคลอรีนมากเกินไป อาจส่งผลต่อความยืดหยุ่นของผิวได้ดังนั้นควรระมัดระวังด้วย

9.การกินอาหาร

สารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยลดความหย่อนคล้อยของผิวหนังและริ้วรอย รวมถึง วิตามิน A, C, D และ E โคเอนไซม์ คิวเทน ซีลีเนียม และสังกะสี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่คุณสามารถได้จากการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มได้อย่างง่ายดาย

คอลลาเจน (Collagen) และโปรตีนไฮโดรไลเสต (Protein hydrolysates) ช่วยเพิ่มระดับความชุ่มชื้นของผิว ซึ่งจะช่วยลดอายุของผิวให้อ่อนเยาว์

เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวของคุณหย่อนคล้อย ควรใช้สครับเพื่อกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและเพื่อช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด นอกจากนี้คุณควรทาโลชั่นหรือครีมบำรุงผิวทุกวัน เพื่อเติมวิตามิน C, E และ A เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวและเพิ่มการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน

5 ปัญหาของการเลี้ยงลูกด้วย น้ำนมแม่

แน่นอนว่าการเลี้ยงลูกด้วย น้ำนมแม่ นั้นเป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะน้ำนมแม่ให้สารอาหารที่ครบถ้วนแก่ลูกน้อยของคุณ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าคุณแม่ส่วนใหญ่ มักพบกับปัญหาหลายอย่าง ที่อาจทำให้คุณแม่ทั้งหลายกังวลมากขึ้น

5 ปัญหาที่พบบ่อยจากการให้ น้ำนมแม่

น้ำนมแม่
น้ำนมแม่

1. ฝีที่เต้านม (Breast abscess)

มักเกิดขึ้นหลังจากที่เต้านมเกิดการอักเสบ แล้วไม่มีอาการดีขึ้น หรือไม่ตอบสนองต่อการรักษา ส่วนใหญ่จะพบก้อนที่กดแล้วมีอาการเจ็บ สีผิวหนังตรงบริเวณที่เป็นก้อนเปลี่ยนไปจากปกติ หากคลำจะรู้สึกคล้ายถุงน้ำ ร่วมกับมีอาการปวด บวม แดง ร้อน และมีไข้ ในบางรายอาจพบก้อนมีหนอง



วิธีการช่วยเหลือ

  • ใช้เข็มเจาะ หรือผ่าตัด เพื่อระบายหนองออกจากเต้านม
  • ระบายน้ำนมออกจากเต้านม โดยการปั๊มนม
  • ให้นมลูก โดยการเริ่มให้จากข้างที่ไม่มีปัญหาก่อน เพื่อกระตุ้น Oxytocin reflex ให้มีน้ำนมไหลดีก่อน
  • ประคบอุ่นประมาณ 3 – 5 นาทีก่อนให้นมลูก
  • หลังจากให้นมลูกเสร็จ ควรประคบเย็น เพื่อลดอาการปวด

2. เต้านมคัดตึง (Breast engorgement)

ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในวันที่ 3 – 5 หลังคลอด ซึ่งเกิดจากการมีน้ำนมจำนวนมากอยู่ภายในเต้านม โดยไม่ได้ระบายออก ร่วมกับมีเลือดและน้ำเหลืองมาคั่งอยู่เต้านม มีลักษณะตึง บวม ลานนมและหัวนมแข็ง รู้สึกปวด และบางรายอาจมีไข้ร่วมด้วย

วิธีการช่วยเหลือ

  • ประคบร้อนด้วยน้ำอุ่นประมาณ 10 นาที
  • นวดเต้านม และบีบน้ำนมออกจนกว่าลานนมจะนุ่ม

3. ท่อนมอุดตัน (Blocked/Plugged duct)

เกิดจากการคั่งของน้ำนม มักพบก้อนไตแข็ง ที่บริเวณเต้านม มีอาการบวมแดงเฉพาะจุด รู้สึกเจ็บเมื่อใช้มือกด

วิธีการช่วยเหลือ

  • ให้ลูกดูดบ่อย ทุก 2-3 ชั่วโมง ดูดข้างละ 15 – 20 นาที
  • ปั๊มหรือบีบน้ำนมออกหลังจากลูกดูดเสร็จ
  • ก่อนให้นมลูกควรประคบเต้านมด้วยผ้าอุ่นประมาณ 3 – 5 นาที

4. เต้านมอักเสบ (Mastitis)

เกิดจากท่อน้ำนมอุดตัน หัวนมแตกเป็นแผล โดยมักมีอาการปวด บวมแดง ร้อน ร่วมกับมีไข้ ส่วนใหญ่พบได้บ่อยในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกหลังคลอด

5. หัวนมแตก และมีอาการเจ็บ (Cracked nipple and Sore)

ส่วนใหญ่มักเกิดจากการให้นมลูกผิดวิธี โดยลูกอมหัวนมและลานนมไม่ถูกต้อง

วิธีการช่วยเหลือ

  • หากมีอาการคัดเต้านมมาก ควรปั๊มหรือบีบน้ำนมออกก่อน
  • ใช้น้ำนมส่วนหลังทาหัวนมที่เป็นแผล จะช่วยให้หัวนมหายเร็วขึ้น
  • ให้ลูกดูดนมอย่างถูกวิธี

เมื่อใดที่พบว่าตนเองมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้น ควรรีบแก้ไขและรักษาทันที เพื่อลดอาการเรื้อรังและรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นตามมาในภายหลัง