ที่มาของเรื่อง ipad เกิดจากโต๊ะอาหาร

หลายคนยังไม่ทราบว่าที่จริงแล้ว ipad ( ไอแพด ) ที่ทางแอปเปิ้ล ( Apple ) ผลิตออกมาขายนั้น เกิดมาจากแนวคิดของพนักงานบริษัทคนหนึ่ง ที่ชอบคุยโวโอ้อวดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ให้กับสตีฟ จ็อบส์ ฟัง ” เหมือนกับว่าเอาความลับของบริษัทมาขาย “

ข้อมูลของเรื่องนี้ได้มาจากหนังสือชีวประวัติ สตีฟ จ็อบส์ และอย่างที่ทราบกันดีว่า ไอแพดได้ถือกำเนิดขึ้นจาก Apple ตั้งแต่ปี 2009 ซึ่งได้ประสบความสำเร็จกับยอดจำหน่ายมาก

แต่จะมีกี่คนที่รู้ว่า หากไม่มีพนักงานของ Microsoft ที่ชอบพูดมากและเสียงดังแล้วหล่ะก็ ไอแพดหรือแท็บเล็ตอื่นๆ ที่เราเห็นในปัจจุบัน อาจไม่มีทางเกิดขึ้นก็เป็นได้



ซึ่งต้นเรื่องทั้งหมด ได้มาจากโต๊ะอาหารมื้อหนึ่งที่มีพนักงานของ Microsoft คนหนึ่งที่ได้คุยโวถึงระบบปฏิบัติการ Windows ที่จะมาพร้อมกับคุณสมบัติในการใช้งานเป็นแท็บเล็ตพีซีได้

ipad
ipad

แน่นอนว่า Bill Gates คงไม่พอใจเป็นอย่างมาก กับการที่มีพนักงานของตนพูดถึงสินค้า ที่กำลังอยู่ในการค้นคว้าและวิจัย ซึ่งบังเอิญในโต๊ะอาหารวันนั้น มีคนอย่าง สตีฟ จ็อบส์ นั่งอยู่ซะด้วย

โดยเจ้าพนักงาน Microsoft คนเดิม ได้พูดถึงเรื่องแท็บเล็ตพีซีว่า มันจะเป็นอุปกรณ์ที่เปลี่ยนแปลงโลกนี้ อีกทั้งยังจะกำจัดในส่วนของคอมพิวเตอร์พีซี และโน็ตบุ๊คอีกด้วย พร้อมยังคุยอีกว่า Apple จะต้องมาซื้อสิทธิบัตรจาก Microsoft เพื่อผลิตแท็บเล็ตพีซีเป็นของตัวเอง

แต่แล้วแท็บเล็ตพีซี มันดันมาพร้อมกับปากกาสไตลัส เพื่อใช้ในงานควบคุม ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่ผิดพลาดมากที่สุด และที่สำคัญไปกว่านั้น พนักงาน Microsoft คนนี้ยังได้พูดเรื่องเดิมซ้ำๆ ให้คนอย่าง สตีฟ จ็อบส์ ฟังเป็น 10 รอบ

แน่นอนว่าเป็นอะไรที่ สตีฟ จ็อบส์ คงเซ็งน่าดู ซึ่งพอ สตีฟ จ็อบส์ กลับมาถึงบ้าน ก็ได้ตัดสินใจว่า Apple จะสร้างแท็บเล็ตของจริง ว่าหน้าตามันจะออกมาเป็นอย่างไร โดยในวันต่อมา สตีฟ จ็อบส์ ก็ได้พูดคุยเรื่องนี้กับทีมงานพัฒนาว่า ” เรามาสร้างแท็บเล็ตที่ไม่ต้องอาศัย คีย์บอร์ดหรือปากกาสไตลัส ในการใช้งานกันเถอะ “

สิ้นสุดถ้อยคำนั้นไม่นาน ไอแพดก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมาจาก Apple และสตีฟ จ็อบส์ จนถึงปัจจุบัน ซึ่งขณะไอแพด 2 มียอดจำหน่ายไปแล้ว 39.8 ล้านเครื่อง ในด้านของ Microsoft ขณะนั้นยังไม่ได้ออกแท็บเล็ตอย่างที่เคยบอกเอาไว้เลย

ข้อมูลอ้างอิงจาก : หนังสือคิดแล้วต้องทำให้สำเร็จนี่แหละยิว

ผ้า 5 ชนิด ที่มีพิษและเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณ

เสื้อผ้าที่คุณสวมใส่ แม้ว่าพวกเขาจะทำให้ดูดี ใส่แล้วสบาย แต่อาจเป็นอันตรายต่อผิวและสุขภาพโดยทั่วไปได้ ตั้งแต่กลิ่นที่ไม่ดี ไปจนถึงผิวหนังอาจเกิดผื่น หรืออาจมีบางสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่า เพราะ ผ้า บางชนิดอาจไม่ใช่คู่หูที่ดีที่สุดสำหรับผิวของคุณ

ผ้า 5 ชนิดอันตรายต่อสุขภาพ ?

ผ้า
ผ้า

1. เรยอน ( Rayon )

เรยอน เป็นเส้นใยที่ทำจากเซลลูโลส ซึ่งถูกเปลี่ยนรูปทางเคมีจากเนื้อไม้ไผ่ สารเคมีไม่เพียงแต่อันตรายในขั้นตอนการผลิตเท่านั้น แต่ยังอาจเป็นอันตรายขณะสวมใส่ได้เช่นกัน

ผ้าเรยอนสามารถปล่อยสารพิษ ที่ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหน้าอก และนอนไม่หลับ นอกจากนี้กระบวนการผลิตของมัน ยังก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมอย่างหนักอีกด้วย



2. โพลีเอสเตอร์ ( Polyester )

โพลีเอสเตอร์ เป็นหนึ่งในผ้าใยสังเคราะห์ ที่ได้รับความนิยม และใช้มากที่สุด แม้ว่าจะสามารถผลิตได้ด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติ เช่น ฝ้าย แต่ยังคงมีผลกระทบต่อสุขภาพและอาจเป็นอันตรายขณะสวมใส่

โพลีเอสเตอร์จะทำให้หายใจลำบาก ยิ่งกว่านั้นมันยังทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น ทำให้สารเคมีจากเนื้อผ้าถูกปล่อยออกมาแล้วซึมเข้าสู่ผิวหนังของคุณในเวลาต่อมา ซึ่งสิ่งนี้สามารถทำให้เกิดปัญหาระคายเคืองผิว ทำให้เกิดผื่นแดง และผิวหนังอักเสบ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงโพลีเอสเตอร์ ในสื้อผ้า และชุดเครื่องนอนของคุณ

3. อะคริลิค ( Acrylic )

ผ้าอะคริลิคทำจากอะคริโลไนไตรล์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งและสารก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ การได้รับสารชนิดนี้ อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพได้ โดยอาจทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้ หายใจลำบาก แขนขาอ่อนแรง ฯลฯ เมื่อสวมผ้าอะคริลิค คุณจะเสี่ยงต่อการดูดซับอะคริโลไนไตรล์ลงบนผิวหนัง และนอกจากนี้การผลิตอะคริลิค ยังเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม

4. ไนลอน ( Nylon )

ถุงเท้า ชุดชั้นใน ถุงน่อง และเสื้อผ้าที่ใส่ประจำวันทั่วไป ส่วนใหญ่ทำจากไนลอน เพราะมีความทนทาน และราคาไม่แพงมาก จึงทำให้ได้รับความนิยมสูง ในเวลาเดียวกันไนลอนไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดในการสวมใส่สำหรับผิวของคุณ

เสื้อผ้าที่ทำจากไนลอนไม่ดูดซับเหงื่อจากผิวหนัง ซึ่งอาจทำให้เกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ และการติดเชื้อที่ผิวหนัง ในขณะที่การผลิตเนื้อผ้าจะถูกฟอกสี และย้อมด้วยสารเคมีที่แตกต่างกัน การสวมใส่อาจทำให้เกิดการระคายเคือง

5. สแปนเด็กซ์ ( Spandex ) / ไลคร่า ( Lycra ) / อีลาสเทน ( Elastane )

เนื้อผ้าประเภทเหล่านี้ มีความยืดหยุ่นมาก และมีเนื้อผ้าที่รัดรูป เช่น เลคกิ้ง เสื้อยืด ชุดชั้นใน กางเกงรัดรูป บิกินี่ เสื้อผ้ากีฬา ฯลฯ เช่นเดียวกับผ้าใยสังเคราะห์อื่นๆ ที่ผลิตจากสารเคมีที่เป็นอันตราย เช่น โพลียูรีเทน ถือว่าเป็นสารก่อมะเร็ง การสัมผัสกับเนื้อผ้าเป็นเวลานาน อาจทำให้ผิวหนังระคายเคือง เช่น ผิวหนังอักเสบ

ควรสวมใส่ผ้าแบบไหนดี ?

  • ผ้าฝ้าย : นี่เป็นผ้าที่ดีที่สุด ที่คุณสามารถสวมใส่เพื่อรักษาผิว เพราะเป็นผ้าที่ช่วยดูดซับของเหลวจากผิวหนัง ระบายอากาศได้ดี ป้องกันความร้อนในฤดูร้อนและความเย็นในฤดูหนาว และป้องกันการแพ้ และมีความทนทาน สวมใส่สบาย
  • ผ้าลินิน : เป็นวัสดุที่ใส่สะดวกสบาย คงทนสูง และง่ายต่อการดูแล เหมาะสำหรับใส่ในทุกฤดูกาล มันมีคุณสมบัติพิเศษที่ไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ และไม่ทำลายผิว
  • ผ้าไหม : ไม่เพียงแต่เป็นเนื้อผ้าที่อ่อนนุ่ม มีผิวหรูหราเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพมาก มันสามารถช่วยชะลอความชรา ช่วยในเรื่องของกลากเกลื้อน และโรคหอบหืด มีฤทธิ์ต้านเชื้อรา ช่วยหลีกเลี่ยงอาการแพ้ และช่วยให้นอนหลับสบาย
  • ไผ่ : เป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจสำหรับผ้าธรรมชาติแบบดั้งเดิม สิ่งทอที่ทำมาจากไม้ไผ่นั้นมีความนุ่มและเนียน ไม่ก่อให้เกิดการแพ้ง่าย ระบายอากาศได้ดี มันสามารถดูดซับความชื้นจากผิวได้ดีกว่าผ้าฝ้าย และยังช่วยปกป้องผิวคุณจากรังสี UV ที่สำคัญยังสามารถย่อยสลายได้ง่ายทางชีวภาพ ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก
  • ผ้าใยกัญชง : สิ่งทอนี้อยู่กับผู้คนมานับพันปี เป็นที่รู้กันว่าเป็นผ้าที่ความทนทาน เป็นวัสดุธรรมชาติที่ดีที่สุด เมื่อพูดถึงการทรงตัว
  • แคชเมียร์ : นี่เป็นวัสดุที่มีค่าและราคาค่อนข้างแพง เพราะไม่มีการใช้สารเคมีในการผลิต เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเนียนนุ่มอย่างอัศจรรย์ ซึ่งจะทำให้ผิวของคุณรู้สึกดี
  • ขนแกะ : นี่เป็นทางเลือกที่ดี เพราะเป็นวัสดุควบคุมอุณหภูมิและความชื้นจากธรรมชาติ ที่ไม่เสียรูป เบา นุ่ม และปกป้องรังสี UV

เสื้อผ้าที่คุณสวมใส่เป็นประจำ เป็นประเภทไหน ? แล้วหลังจากที่คุณทราบเรื่องนี้ คุณมีความคิดเห็นอย่างไรกันบ้าง…

ประวัติ วันฮาโลวีน Halloween หมายถึงอะไร

วันฮาโลวีน ( Halloween / All Hallows’ Eve ) เป็นวันหยุดที่มีการเฉลิมฉลองในแต่ละปี เป็นวันที่เกิดขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม วันนี้เป็นจุดสิ้นสุดของฤดูร้อนและการเก็บเกี่ยว และเป็นจุดเริ่มต้นของฤดูหนาวที่มืดและหนาวเย็น ซึ่งเป็นช่วงเวลาของปีที่มักเกี่ยวข้องกับความตายของมนุษย์ เชื่อว่าเป็นคืนที่เขตแดนระหว่างโลกของสิ่งมีชีวต กับคนตายจะเบลอ และมีความเชื่อกันว่าผีแห่งความตายกลับมาสู่โลก

ประเพณีนี้มีต้นกำเนิดจากเทศกาลเซลติกโบราณของ Samhain ในศตวรรษที่แปดสมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรี่ที่ 3 ได้กำหนดให้วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นเวลาเพื่อให้เกียรติแก่นักบุญทั้งหลายของศาสนาคริสต์ตะวันตก แต่เมื่อเวลาผ่านไปฮัลโลวีนก็กลายเป็นกิจกรรมหนึ่ง อย่างเช่น เล่นกลลวงตา เล่นตลก งานสังสรรค์รื่นเริง เครื่องแต่งกาย แกะสลักฟักทองเป็นแจ็คโอแลนเทิร์น และการทานอาหาร

บางคนเรียกเทศกาลนี้ว่า เทศกาลแห่งความตาย เชื่อว่าเป็นวันที่โลกนี้ และโลกหน้าโคจรมาใกล้กันมากที่สุด ซึ่งทำให้เหล่าพวกวิญญาณคนตายผ่านเข้ามาในโลกของคนเป็นอย่างอิสระ วิญญาณบรรพบุรุษจะถูกต้อนรับ ส่วนวิญญาณร้ายจะถูกขับไล่ โดยเชื่อว่าสามารถขับไล่วิญญาณร้ายได้ ด้วยการสวมชุดและหน้ากากผี



สัญญาลักษณ์ วันฮาโลวีน ?

วันฮาโลวีน
วันฮาโลวีน

ตั้งแต่ยุคโบราณจะแขวนโครงกระดูกไว้บริเวณหน้าต่าง เพื่อแสดงถึงความตาย และมีการแกะสลักโคมไฟจากฟักทองและหัวผักกาด เพราะเชื่อว่าเป็นส่วนที่มีพลังที่สุด เพื่อใช้ขับไล่วิญญาณร้าย

การเล่น trick or treat

เพื่อส่งผลบุญให้กับญาติผู้ล่วงลับ และพิธีทางศาสนาเพื่อทำบุญวันปีใหม่ ในสหรัฐอเมริกา ส่วนใหญ่ตามบ้านเรือนจะตกแต่งไปด้วยโคมไฟฟักทอง และตุ๊กตาหุ่นฟางที่เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลประเพณีเก็บเกี่ยว โดยแต่ละบ้านจะเตรียมขนมหวาน ลูกอม และขนมต่างๆ เตรียมไว้คอยเด็กๆ และผู้คนที่แต่งตัวแฟนซีเป็นแม่มด นางฟ้า ปีศาจ มาเคาะประตูพร้อมกับตะเกียงฟักทอง แล้วจะพูดกับเจ้าของบ้านว่า ” trick or treat ”

โดย treat หมายถึงฉันยอมแพ้แล้ว เอาลูกกวาดไปเถอะ ส่วน trick หมายถึงฉันไม่ยอม เด็กๆและเหล่าบรรดาผู้ที่แต่งตัวแฟนซี ก็จะมีทริคมาหลอกเจ้าของบ้าน เช่น หลอกหลอน ปริ้นตา แลบลิ้น หลังจากนั้นเจ้าของบ้านก็จะให้ลูกหวาด แต่สุดท้ายไม่ว่าเจ้าของบ้านจะเลือก trick or treat สุดท้ายก็จบลงด้วยเสียงหัวเราะ และการให้ขนม

ฟักทองแจ็คโอแลเทิร์น

เป็นตำนานพื้นบ้านของชาวไอริส ที่กล่าวถึงแจ๊คจอมตืด นักเล่นกลจอมขี้เมา วันหนึ่งเขาหลอกล่อปีศาจขึ้นไปบนต้นไม้ และเขียนกากบาทไว้ที่โคนต้นไม้ ทำให้ปีศาจลงมาไม่ได้ เขาจึงได้ทำข้อตกลงกับปีศาจ ห้ามนำสิ่งไม่ดีมาหลอกล่อเขาอีก แล้วเขาจะปล่อยปีศาจลงจากต้นไม้

เมื่อแจ็คตายลง เขาปฏิเสธที่จะขึ้นสวรรค์ ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธที่จะลงนรก ปีศาจจึงให้ถ่านที่กำลังคุแก่แจ็ค เพื่อเอาไว้สำหรักปัดเป่าความหนาวเย็นท่ามกลางความมืดมิด และแจ็คได้นำถ่านนี้ใส่ไว้ในหัวผักกาดเทอนิพที่ถูกเจาะให้กลวง เพื่อให้ไฟลุดโชติช่วงได้นานขึ้น ชาวไอริสจึงแกะสลักหัวผักกาดเทอนิพ และใส่ไฟด้านใน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของวันฮาโลวีน เพื่อระลึกถึง ” การหยุดยั้งความชั่ว ”

และต่อมาชาวอเมริกาพบว่า ฟักทองหาง่ายกว่าหัวผักกาดมาก จึงได้เปลี่ยนมาใช้ฟักทองแทน

10 เรื่องน่ารู้ของ บิงซู Bingsu ที่คุณไม่ควรพลาด

บิงซู ( Bingsoo / Bingsu ) ขนมหวานที่โหนกระแสนิยมสูงในปัจจุบัน โดยเฉพาะในประเทศไทยที่อากาศร้อน ซึ่งหลายๆคนก็ยังสงสัยว่า น้ำแข็งใสบ้านเรา กับ บิงซูนั้นต่างกันอย่างไร ? แล้วทำไมคนถึงได้นิยมบิงซู มากกว่าน้ำแข็งใส ทั้งที่ก็มีความหวานหอม และเย็นเหมือนๆกัน โดยเราได้มีเรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับบิงซูมาฝาก หากว่าคุณยังสงสัย ?

10 เรื่องของ บิงซู ?

บิงซู
บิงซู

1. ชื่อเดิมของ บิงซู คือ พัดบิงซู



ตั้งแต่ยุคแรกของบิงซูแบบดั้งเดิม มีชื่อเรียกว่า ” พัดบิงซู ” ( Patbingsu ) แต่เมื่อเวลาผ่านไป ส่วนผสมต่างๆแบบดั้งเดิม ก็ได้ถูกปรับเปลี่ยนจากเดิม จึงได้ตัดคำว่า ” พัด หมายถึง ถั่วแดง ” ออกไป เหลือแต่คำว่า ” บิงซู “

2. บิงซู มีอายุมากกว่า 600 ปี

เชื่อกันว่าบิงซู หรือพัดบิงซู มีมาตั้งแต่สมัยยุคราชวงศ์โชซอน ( the Joseon Dynasty ) ราวปี ค.ศ. 1392 – 1910 ส่วนใหญ่คนที่มีฐานะและรวยเท่านั้นที่จะได้ทาน

3. บิงซูต้นตำรับมีส่วนผสมหลักแค่ 4 อย่าง

บิงซู หรือชื่อเดิม พัดบิงซู มีส่วนผสมหลัก คือ ถั่วแดงกวน นมข้น เค้กข้าว และถั่วลิสงบด

4. น้ำแข็งบิงซู ไม่ใช่น้ำแข็งธรรมดา

บิงซู ไม่ใช่น้ำแข็งธรรมดาปั่นละเอียด แต่เป็นน้ำแข็งปั่นละเอียดสูตรพิเศษที่ผสมนม และรสชาติอื่นๆ เพื่อให้มีความหวาน หอม มีเนื้อละเอียดเหมือนหิมะ ซึ่งแตกต่างจากน้ำแข็งใสในบ้านเรา

5. บิงซู ได้รับอิทธิพลจากญี่ปุ่น

แม้ว่าบิงซู จะเป็นขนมหวานประจำเกาหลี ที่ถูกคิดค้นโดยชาวเกาหลี แต่ก็เชื่อกันว่า พัดบิงซู ได้รับอิทธิพลมาจากญี่ปุ่น ที่ชาวญี่ปุ่นอาจจะมีส่วนในการร่วมพัฒนาและเผยแพร่ด้วย

6. บิงซู มีหลายประเทศทั่วโลก

บิงซูไม่ได้มีแต่โซนเอเชียเขตร้อนเท่านั้น แต่ยังมีในแถบยุโรป อย่างเช่น นิวยอร์ก แอตแลนต้า และอเมริกา ฯลฯ ที่นิยมทานมากไม่แพ้ชาวไทย

7. บิงซู ในแต่ละพื้นที่ หรือแต่ละประเทศแตกต่าง

บิงซู ในแต่ละประเทศ อาจมีท็อปปิ้งที่แตกต่างกัน แล้วแต่การปรับปรุงสูตรตามความชอบของบุคคลในพื้นที่นั้นๆ

8. บิงซู ได้รับความนิยมเพราะโซเซียล

เชื่อว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้บิงซู ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายอาจเป็นเพราะ หน้าตาที่น่ากิน ดูสวยงาม ถ่ายรูปสวย สะท้อนถึงรสนิยมที่ดูดี และอินเทรนด์ จึงทำให้เหล่าบรรดาที่นิยมใช้โซเซียล ถ่ายรูปแชร์ ราวกับเป็นตัวช่วยในการโปรโมท จึงทำให้ติดเทรนและนิยมมากในปัจจุบัน

9. บิงซู เป็นขนมหวานที่มีราคาสูง

บิงซู ที่ได้รับความนิยมสูง จึงทำให้โรงแรมหรู หรือภัตตาคารระดับห้าดาว ได้นำไปเป็นเมนูเพิ่มมูลค่าที่ขายกันด้วยราคาแพง

10. บิงซู มีแคลอรี่สูง

นอกจากความอร่อย และสดชื่นแล้ว จากข้อมูลยังพบว่าบิงซู 1 ถ้วย มีแคลอรี่ประมาณ 300 – 700 กิโลแคลอรี่ ซึ่งควรระมัดระวังในการทาน เพราะหากทานมากไปอาจก่อให้เกิดโรคอ้วนได้

หากคุณรู้เรื่องราวเกี่ยวกับบิงซู นอกจากที่เราได้กล่าวไว้ คุณสามารถแชร์ความรู้ และบอกต่อให้กับคนที่หลงใหลและชอบทานบิงซู ได้ในช่องแสดงความคิดเห็นด้านล่าง

8 พฤติกรรม ทายนิสัย บ่งบอกบุคลิกที่ซ่อนไว้ขณะอาบน้ำ

แน่นอนว่าการอาบน้ำ เป็นกิจวัตรประจำวันที่ทุกคนต้องทำกันทุกเช้าหรือทุกเย็น แต่วิธีการอาบน้ำของคนเรานั้นย่อมแตกต่างกัน และการเริ่มอาบน้ำจากส่วนแรกในร่างกายของคุณ มีแนวโน้มที่จะสามารถบอกเกี่ยวกับบุคลิกภาพและอาจ ทายนิสัย ของตัวคุณได้

ทายนิสัย
ทายนิสัย

1. ล้างหน้าอกก่อน

หากว่าคุณเริ่มขัดทรวงอกก่อน นั่นบ่งบอกได้ว่าคุณเป็นคนมีความมุ่งมั่น และความสับสนแทบจะไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อคุณเลย คุณชอบความเป็นอิสระ และผู้คนต่างชื่นชมคุณในสิ่งนี้

2. สระผมก่อน



หากคุณเริ่มอาบน้ำจากศีรษะก่อน แสดงว่าคุณเป็นคนที่ชอบวินัย เจ้าระเบียบ จัดการเวลาได้เป็นอย่างดี หากนัดหมายกับใครคุณก็จะต้องไปให้ตรงเวลาเสมอ และคุณมักฉลาดในการเลือกคบเพื่อน

3. ล้างคอและไหล่ก่อน

คนที่ทำงานหนักที่สุด มักจะล้างบริเวณคอและไหล่ก่อน ไหล่แสดงถึงภาระและคุณต้องการกำจัดมันออกไป คุณเป็นคนมองโลกในแง่ดี เป็นคนที่ชอบทะเลาะ และคาดหวังสิ่งต่างๆ จากคนอื่น คุณเป็นคนชอบการแข่งขัน และต้องการความก้าวหน้าเสมอ

4. ล้างหลังก่อน

หลังสะท้อนถึงจิตสำนึก ด้านหลังเกี่ยวข้องกับกระดูกสันหลังและระบบประสาทของคุณ ที่มีบทบาทสำคัญในการทำงานของสมอง การที่คุณล้างหลังก่อน แสดงให้เห็นว่า คุณเป็นคนระมัดระวัง และไม่ไว้วางใจผู้คนได้ง่าย คุณมีนิสัยชอบค้นหา และตัดสินใจทุกอย่างด้วยความรอบคอบ

5. ล้างแขนหรือขาก่อน

หากคุณเริ่มอาบน้ำจากการล้างแขนหรือขาก่อน คุณสามารถเรียกตัวเองว่าเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน อย่างไรก็ตามอีกด้านหนึ่งสำหรับเรื่องนี้ แขนหรือขาก็เป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งและความมุ่งมั่น ดังนั้นการล้างขาและแขนก่อน แสดงว่าคุณไม่กลัวที่จะแสดงทางเลือกของคุณ คุณอาจเกลียดบางสิ่ง หรือรักบางสิ่ง

6. ล้างรักแร้ก่อน

หากคุณมักชอบล้างรักแร้ก่อนเสมอ แสดงว่าคุณเป็นคนที่มีความน่าเชื่อถือ และไว้วางใจได้ และคุณยังเป็นคนไม่กลัวงานหนัก

7. ล้างหน้าก่อน

หากคุณเริ่มล้างหน้าก่อน หมายความว่าคุณมีความกังวลอย่างมาก คุณมักจะกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่คนอื่นคิดกับคุณ และในบางครั้งจะรู้สึกหงุดหงิดหรือเครียด และอาจรู้สึกเขิน เป็นเรื่องยากสำหรับคุณที่จะรับรู้หรือได้ยินสิ่งที่เลวร้ายเกี่ยวกับตัวเอง

8. ล้างตัวก่อน

หากคุณล้างตัวก่อน ชี้ให้เห็นว่าคุณอาจเป็นคนขี้อายมาก คุณสามารถเรียกตัวเองว่าเป็นคนเก็บตัว ไม่ค่อยเข้าสังคม อย่างไรก็ตามคนที่รู้จักหรือใกล้ชิดกับคุณ จะพูดว่าคุณเป็นคนที่จริงใจที่สุดในโลก คุณสามารถทำให้คนใกล้ชิดรู้สึกสบายใจเมื่ออยู่กับคุณ

คุณคิดอย่างไรกับผลการทดสอบดังกล่าว ? และโปรดทราบว่าการทดสอบนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อความสนุกเท่านั้น และไม่ถือว่าเป็นความเห็นหรือข้อพิสูจน์ที่ใช้ยืนยันตัวตนของบุคคลใด

7 คำทำนาย ที่จะเกิดขึ้น ภายในปี 2030 ของบิล เกตส์

สำหรับโลกของอนาคตในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าที่ใกล้จะเข้ามาถึงนี้ ทำให้คนทั่วโลกต่างก็ต้องปรับตัว เพื่อให้มีความรู้ ความสามารถเท่าทันกับยุคนั้นๆ โดยเฉพาะในเรื่องของเทคโนโลยี ที่ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ไปแล้ว โดยนักธุรกิจที่ร่ำรวยที่สุดของโลกหลายปีติดต่อกันอย่าง บิล เกตส์ ได้ให้ คำทำนาย ถึงเหตุการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนี้

7 คำทำนาย ของบิล เกตส์

1. ในอีก 15 ปีข้างหน้า จะมีผู้ป่วยและเสียชีวิตจากเชื้อโรค 33 ล้านคน

เกตส์เตือนในงาน Munich Security Conference ว่านักระบาดวิทยาได้กล่าวถึงเชื้อโรคที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วในอากาศ อาจพรากชีวิตผู้คนได้มากกว่า 30 ล้านคน ในเวลาไม่ถึง 1 ปี



ซึ่งอาจเกิดจากการกลายพันธุ์ของเชื้อ โดยอุบัติเหตุหรือการก่อการร้าย คำกล่าวนี้อาจฟังดูแปลก แต่เหตุการณ์คล้ายกันนี้ ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อครั้งกาฬมรณะระบาด มีผู้เสียชีวิตเกือบ 1 ใน 3 ของยุโรป หรือเมื่อไม่นานมานี้ ในปี 1918 เกิดการระบาดของไข้หวัดใหญ่สเปน ทำให้มีผู้คนเสียชีวิตมาก 50 ถึง 100 ล้านคน

2. ทวีปแอฟริกา จะสามารถพึ่งพาตนเองได้ในด้านการผลิตอาหาร

บิลเกตส์นั้นเชื่อว่า แอฟริกาจะสามารถพึ่งพาตนเองได้ ด้วยปัจจัยการเปลี่ยนแปลง ดังนี้

  • ปุ๋ยและพันธุ์พืชที่จะถูกพัฒนาให้ดีขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ผลผลิตที่เพิ่มขึ้น
  • การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การขยายถนนระหว่างแหล่งการผลิต และแหล่งกระจายสินค้าในกาน่า รวมถึงการแก้ไขปัญหาความล่าช้าในเซเนกัล
  • โทรศัพท์มือถือที่แพร่หลายมากขึ้น จะช่วยให้การรับข้อมูลข่าวสารได้ง่ายขึ้น เช่น รายงานสภาพอากาศ และราคาสินค้าในตลาด

3. ชีวิตคนจนจะถูกเปลี่ยนโดยธนาคารบนมือถือ

ระบบธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ จะเข้ามาช่วยให้ผู้คนยากจน เก็บรักษาเงินในรูปแบบดิจิทัล เกตส์กล่าวในปี 2015 ว่า ” ภายในปี 2030 คน 2 พันล้านคน ที่ไม่มีบัญชีธนาคารในปัจจุบันนี้ จะเก็บและชำระเงินโดยผ่านโทรศัพท์มือถือของพวกเขา ”

4. ภายในปี 2035 ประเทศยากจนจะไม่มีอีกต่อไป

เกตส์เชื่อว่าภายในปี 2035 ประเทศยากจนจะไม่มีอีกต่อไป เกตส์กล่าวว่า โลกได้เปลี่ยนไปมากในช่วงชีวิตของเขา

เขาเขียนจดหมายในปี 2014 ว่า ” ความช่วยเหลือเป็นการลงทุนที่น่าอัศจรรย์ และเราควรทำให้มากขึ้น เพราะมันช่วยในการวางรากฐาน ปรับให้คุณภาพชีวิตของผู้คนก้าวหน้าทางเศรษฐกิจในระยะยาว ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

5. ภายในปี 2030 พลังงานสะอาดจะถูกพัฒนาขึ้น

การคาดการณ์ล่าสุดในปี 2016 และแม้เกตส์ไม่ได้บอกว่าพลังงานสะอาดนั้นคืออะไร แต่เขาได้ประกาศถึงแผนการลงทุน 2 พันล้านเหรียญสหรัฐในเทคโนโลยีนี้

6. มนุษย์สูญเสียงานจำนวนมากให้กับหุ่นยนต์

ในการสัมภาษณ์กับเว็บไซต์ Quartz เกตส์ได้พูดถึงอนาคตของการจ้างงาน ถึงการที่หุ่นยนต์จะเข้ามาแย่งงานมนุษย์ในอนาคต

โดยเกตส์เสนอแนวคิดให้รัฐบาลเก็บภาษีหุ่นยนต์ และนำรายได้ในส่วนดังกล่าวไปจ้างงานในส่วนที่หุ่นยนต์ไม่ทำ เช่น การดูแลผู้สูงอายุ หรือการทำงานกับเด็ก

7. โรคโปลิโอ จะถูกกำจัดไปจากโลกในปี 2019

ในปี 2013 เกตส์เผยสถิติที่แสดงให้เห็นว่าโปลิโอที่ลดลง จนมีสถานะการระบาดอยู่ใน 3 ประเทศทั่วโลกเท่านั้น

เกตส์กล่าวถึงปัจจัยสำคัญในการกำจัดโปลิโอว่า คือการวัดผลและการประเมินคุณภาพของบริการสาธารณะสุขที่ถูกต้องแม่นยำ

คุณคิดอย่างไรกับคำทำนายเหล่านี้ แล้วคุณได้เตรียมพร้อมกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างไร ?

ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://futurism.com/bill-gates-seven-predictions-future

บุคลิกภาพ สังเกตุได้ง่าย จากนิ้วมือ ของคุณเอง

คุณทราบหรือไม่ว่า บุคลิกภาพ ของคนเรานั้นสามารถฝึกฝนกันได้ โดยเริ่มตั้งแต่เด็ก ที่หลายคนถูกปลูกฝังมาโดยครอบครัว สังคม หรือจากการเรียนรู้เองรอบตัว หรือแม้แต่

คุณทราบหรือไม่ว่า บุคลิกภาพ ของคนเรานั้นสามารถฝึกฝนกันได้ โดยเริ่มตั้งแต่เด็ก ที่หลายคนถูกปลูกฝังมาโดยครอบครัว สังคม หรือจากการเรียนรู้เองรอบตัว หรือแม้แต่การมีบุคคลิกภาพ ที่ได้มาโดยการถ่ายทอดผ่านมาทางพันธุกรรม

การจะสังเกตุลักษณะบุคลิกภาพ ของบุคคลแต่ละคนนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากหน้าตา คำพูด การกระทำ รวมไปถึงการแต่งตัว หรือรสนิยมในการเลือกใช้ สิ่งของต่างๆ ในชีวิตประจำวัน

แต่มีสิ่งหนึ่ง ที่คุณอาจไม่รู้ หรืออาจมองข้าม ที่สามารถบอกถึงลักษณะ บุคลิกภาพของตัวบุคคลได้ ซึ่งนั้นก็คือ นิ้วมือของคนเรานี่เอง ซึ่งนั่นก็คือ การเปรียบเทียบความยาว ของนิ้วชี้ และนิ้วนาง เพื่อดูบุคลิกภาพ

บุคลิกภาพ สังเกตุได้จาก นิ้วมือ ?

นิ้วชี้ ยาวกว่า นิ้วนาง

นิ้ว

บอกถึงลักษณะของบุคคล ที่มีความมั่นใจ มีความเป็นผู้นำที่ดี รักความสงบ อารมณ์ดี มีความรับผิดชอบสูง มักประสบความสำเร็จสูง ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตาม พวกเขาไม่เคยอยู่นิ่งเฉย พยายามหาสิ่งใหม่เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา มีหลักการในการวิเคราะห์และการตัดสินใจ จึงไม่มีสิ่งใด ที่พวกเขาจะทำไม่ได้ หากพวกเขาตั้งใจลงมือทำแล้ว

นิ้วชี้ สั้นกว่า นิ้วนาง

นิ้วชี้


บ่งบอกถึงว่า บุคคลนั้นเป็นคนมีเสน่ห์ น่าสนใจ มีทักษะในการสื่อสารที่ดียอดเยี่ยม อย่างน่าอัศจรรย์ ไม่ท้อต่อปัญหาง่ายๆ มีความอดทนและหาวิธีใหม่ๆอยู่เสมอ เรียกได้ว่าพวกเขาเป็นคนเก่งคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ มักชอบตั้งเป้าหมายไว้สูงเสมอและจะต้องทำให้สำเร็จ และบางครั้งอาจเป็นคนดูก้าวร้าว

นิ้วชี้ เท่ากันกับ นิ้วนาง

มือ

ผู้ที่มีนิ้วชี้และนิ้วนาง ยาวเท่ากันนั้น บ่งบอกได้ว่า พวกเขามีความสงบ ชอบห่วงใยผู้อื่น เป็นคนอ่อนโยนมาก มักหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดปัญหา และความขัดแย้ง หากเป็นเพื่อนจะเป็นเพื่อนที่ดีมาก คอยช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ มีความซื่อสัตย์ เป็นมิตรที่ดี คิดบวกเสมอ แต่ก็มีข้อเสียตรงที่มักเป็นคนลังเล

ลองสังเกตุนิ้วมือของคุณเอง และคนรอบข้างว่าตรงกันบ้างหรือไม่ หากมีความคิดเห็น อยากแบ่งปัน หรือมีคำแนะนำ สามารถแสดงความคิดเห็น ไว้ด้านล่างบทความได้ แล้วทางเราจะนำความคิดเห็น และคำแนะนำ ไปปรับปรุงและพัฒนาต่อไป เพื่อจะได้นำความรู้ ที่มีประโยชน์มาแบ่งปัน

บทความเพื่อสุขภาพ

วันคริสต์มาส คืออะไร ความหมาย สำคัญอย่างไร

วันคริสต์มาส (Christmas) เป็นเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ เป็นวันที่ผู้คนทั่วโลก ให้ความสนใจเฉลิมฉลอง และให้ความสำคัญมากที่สุด เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความยินดี และความปราบปลื้มใจของชาวคริสต์ ที่จัดขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง การทรงมาบังเกิดของพระเยซูคริสต์ โดยตามปฏิทินแล้ว จะตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี แต่วันดังกล่าวอาจไม่ได้ตรงกับวันประสูติ ของพระเยซูคริสต์จริงๆ แต่วันดังกล่าว ได้ถูกเลือกไว้ตั้งแต่ในอดีต เพื่อให้สอดคล้องกับเทศกาลของโรมัน หรือให้สอดคล้องกับช่วงวันที่มีกลางวันสั้นที่สุด ( winter solstice )

วันคริสต์มาส (Christmas) เป็นเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ เป็นวันที่ผู้คนทั่วโลก ให้ความสนใจเฉลิมฉลอง และให้ความสำคัญมากที่สุด เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความยินดี และความปราบปลื้มใจของชาวคริสต์ ที่จัดขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง การทรงมาบังเกิดของพระเยซูคริสต์ โดยตามปฏิทินแล้ว จะตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี แต่วันดังกล่าวอาจไม่ได้ตรงกับวันประสูติ ของพระเยซูคริสต์จริงๆ แต่วันดังกล่าว ได้ถูกเลือกไว้ตั้งแต่ในอดีต เพื่อให้สอดคล้องกับเทศกาลของโรมัน หรือให้สอดคล้องกับช่วงวันที่มีกลางวันสั้นที่สุด ( winter solstice )

สำหรับชาวคริสต์แล้ว วันคริสต์มาสถือได้ว่าเป็นข่าวดี สำหรับมวลมนุษย์ทั้งหลาย ที่เต็มไปด้วยความบาป ที่จะได้รับการไถ่ชีวิต ด้วยการทรงมาบังเกิดของพระเยซูคริสต์ เพราะนอกจากพระเยซูคริสต์แล้ว ไม่มีทางใดเลย ที่นำจะมนุษย์ผู้ที่เต็มไปด้วยความบาป กลับไปสู่การคืนดี กับองค์พระผู้เป็นเจ้า และถูกชำระล้างความบาปผิดได้ นอกจากทางพระเยซูคริสต์ เพียงทางเดียวเท่านั้น “เพราะพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตร องค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ (ยอห์น 3:16)”

วันคริสต์มาส
คริสต์มาส

วันคริสต์มาส สำคัญอย่างไร ?

คำว่า “Christmas” (คริสต์มาส) มาจากการประสมคำของ “Christ’s Mass” ซึ่งมาจากคำว่า Christemasse ของภาษาอังกฤษยุคกลาง ในภาษากรีกตัวอักษร X เป็นตัวอักษรแรกของคำว่า “Christ” จึงมีการเขียนแบบย่อว่า X’mas

วันคริสต์มาส เป็นเทศกาลที่ชาวคริสต์ เฉลิมฉลองการทรงมาบังเกิดของพระเยซู โดยการระลึกถึงพระคุณ ที่พระเจ้าได้ทรงมอบไว้ให้ สำหรับมนุษย์ที่เต็มไปด้วยบาป ซึ่งไม่สมควรได้รับ แต่พระเจ้าทรงรักมนุษย์ทุกคนมาก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ซึ่งก็คือ พระเยซูคริสต์ ให้มาไถ่บาปแทนมนุษย์ทุกคน บนไม้กางเขน เพื่อให้มนุษย์ได้รอดพ้นจากความบาป และกลับสู่การคืนดีกับพระเจ้า (GOD)



โดยมีการเฉลิมฉลอง โดยการมอบความรักให้แก่กัน มีการอวยพร มีการจัดต้นคริสต์มาส มีซานตาคลอส มีการมอบของขวัญให้แก่กัน ซึ่งเป็นเทศกาลที่มีระยะเวลานานถึง 12 คืน แต่กิจกรรมเหล่านี้ ก็ไม่ได้สำคัญ หรือเป็นประเด็นหลัก สำหรับชาวคริสต์มากเท่ากับการระลึก และการขอบพระคุณ ด้วยใจถ่อมมากกว่า

สำหรับชาวคริสต์ มีความเชื่อว่า เทศกาลคริสต์มาส เป็นวันประสูติของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ถูกบันทึกในพระคัมภีร์ (Bible เป็นหนังสือที่ขายดี ที่สุดในโลก) ระบุไว้ว่า พระเจ้าถือกำเนิด จากครรภ์ของหญิงพหรมจารี ที่มีชื่อว่า มารีย์ ( มัทธิว 1:18-2:12, ลูกา 1:26-2:40 )

สีที่เกี่ยวข้องกับวันคริสต์มาส ?

สีน้ำเงิน : มาจาก คำพยากรณ์ที่สัมฤทธิ์ผล

ซึ่งตรัสโดยผู้เผยพระวจนะว่า “ดูเถิด หญิงพรหมจารีย์คนหนึ่ง จะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่า “อิมมานูเอล” แปลว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเรา” (มัทธิว 1:22-23) องค์พระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาสู่โลกมนุษย์ ที่หมู่บ้านเบธเลเฮ็ม ทรงเป็นผู้ประกอบด้วยพระสิริ ฤทธิ์เดชความรัก และพระกรุณาธิคุณ ที่ทรงมีต่อมวลมนุษย์ชาติ

สีเหลือง : มาจาก การนำข่าวดีมาสู่มนุษย์

เสียงจากเหล่าทูตสวรรค์ดังก้องว่า “อย่ากลัวเลย เพราะเรานำข่าวดีมายังท่านทั้งหลาย คือ ความปรีดียิ่ง ซึ่งจะมาถึงคนทั้งปวง เพราะว่าในวันนี้ พระผู้ช่วยให้รอดของท่านคือ พระคริสต์เจ้า ทรงมาบังเกิดที่เมืองดาวิด”

สีเขียว : มาจาก ผู้ปลอบประโลม

พระเจ้าเป็นผู้เลี้ยงที่ดีเลิศ พระสุรเสียงของพระองค์ดังก้องอยู่ทุกเวลา “เราอยู่กับเจ้า เราอารักขาเจ้า เราจะดูแลเจ้าตลอดไป ประชากรของพระองค์จะไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วย ปลอบประโลมใจ และชีวิตปลอดภัยทุกวันคืน”

สีแดง : ​มาจาก อาหารแห่งชีวิต

พระเยซูคริสต์พระองค์ทรงเป็นอาหารแห่งชีวิต ดังที่พระองค์ตรัสไว้ในพระกิตติคุณยอห์น “เพราะว่าอาหารของพระเจ้านั้นคือ ท่านที่ลงมาจากสวรรค์และประทานชีวิตให้แก่โลก เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่วางใจในเราจะไม่กระหายอีกเลย” (ยอห์น 6:33-35)

สีขาว : มาจาก การสุขสันต์วันคริสต์มาส

ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ได้กล่าวไว้ “พระองค์ไม่นำกองทัพ หรืออาวุธมาให้มนุษย์ทำลายล้างกัน แต่พระองค์ทรงนำข่าวดี นำความรัก ความเมตตา การหนุนใจ การคืนดี การยกโทษและการให้อภัย”

ชาวไทยส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่า วันคริสต์มาสเป็นวันเฉลิมฉลอง ของชาวตะวันตก ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับชาวไทยโดยตรง ซึ่งที่จริงแล้ว วันคริสต์มาสเป็นวันเฉลิมฉลอง การทรงมาบังเกิดของพระเยซูคริสต์ เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษย์ทุกคน ที่วางใจในพระบุตร ซึ่งก็คือผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ ไม่ได้เกี่ยวกับชนชาติใดชนชาติหนึ่ง แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับมนุษย์บนโลกนี้ทุกคน