ไวรัสตับอักเสบเอ ระบาดเพิ่มขึ้น 132 % ในเวอร์จิเนีย เมื่อเทียบกับปี 2561 ในระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2019 ถึงวันที่ 19 เมษายน 2019 ผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบเอมีอัตราเพิ่มขึ้น ตามรายงานข่าวจากกรมอนามัย
ณ วันที่ 22 เมษายนของปีนี้ มีรายงานผู้ป่วย 45 ราย ถึงแม้ว่าไวรัสตับอักเสบเอ จะยังไม่ได้ระบาดหนักในประเทศไทย แต่การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ ในเวอร์จิเนียเป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มระดับชาติที่กว้างขึ้น ตั้งแต่ปี 2559 มีผู้ป่วยมากกว่า 15,000 รายทั่วประเทศ ส่งผลให้รักษาตัวในโรงพยาบาล 8,500 ราย
ซึ่งหน่วยงานด้านสุขภาพของรัฐเวอร์จิเนีย กำลังพยายามเพิ่มจำนวนการฉีดวัคซีนป้องกัน โรคตับอักเสบเอโดยให้ความสำคัญ กับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อไวรัสมากที่สุด
ไวรัสชนิดนี้เป็นโรคติดเชื้อเฉียบพลันของตับ โดยผู้ป่วยติดเชื้ออาจไม่แสดงอาการ หรือแสดงเพียงเล็กน้อย สามารถติดต่อ จากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญ ที่ควรระมัดระวังให้มากขึ้น ในการรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำ
อาการของ ไวรัสตับอักเสบเอ

- มีไข้ตัวร้อน รู้สึกอ่อนเพลีย
- คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร
- รู้สึกแน่นบริเวณชายโครงขวา
- มีอาการท้องร่วง อุจาระสีซีด
- ปัสสาวะมีสีเข้ม
- รู้สึกปวดท้อง ปวดข้อ
- อาการดีซ่าน ที่มีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง
อาการจะแสดงหลังจากผู้ป่วยติดเชื้อไปแล้วประมาณ 28 วัน และมักจะหายภายใน 2 – 6 เดือน โรคนี้ส่วนใหญ่พบในประเทศที่ด้อยพัฒนา และสามารถรักษาให้หายขาดได้ หากไม่พบว่ามีอาการอื่นแทรกซ้อน
สาเหตุของการติดเชื้อ
- การดื่มน้ำที่ไม่สะอาด มีเชื้อชนิดนี้แฝงอยู่
- ไม่ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร หรือหลังจากเข้าห้องน้ำ
- ติดจากการทานอาหารจากผู้ป่วยที่มีเชื้อ
- มีเพศสัมพันธ์กับผู้มีเชื้อ
ปัจจัยเสี่ยงการติดเชื้อ
- ผู้ที่มีโรคบางชนิด เช่น โรคตับ โรคเลือด ฯลฯ
- ผู้ที่อาศัยร่วมกับผู้ป่วยที่มีเชื้อ
- อาศัย หรือท่องเที่ยวในพื้นที่ ที่มีการระบาดของเชื้อ
- อาศัยในสถานที่ผู้คนมาก เช่น ศูนย์เลี้ยงเด็ก ชุมชนแออัด ค่ายทหาร ฯลฯ
- ผู้ที่ใช้สารเสพติด
- การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อ หรือผู้ที่รักร่วมเพศ
การป้องกันการติดเชื้อ
- ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนรับประทานอาหาร หรือหลังออกจากห้องน้ำ และควรฝึกล้างมือให้บ่อยครั้งขึ้น
- ควรดื่มน้ำที่สะอาด มั่นใจว่าปลอดภัย
- ควรทานอาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่
- ฉีดวัคซีนป้องกัน จะเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด
อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยเอง ก็ยังพบไวรัสนี้อยู่ เพียงแต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการ หรือไม่รู้ตัว จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ที่เราควรเลือกทานอาหาร และดื่มน้ำที่สะอาด รับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น โดยใช้ช้อนกลางทุกครั้ง และไม่ควรใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น ( การได้รับวัคซีนป้องกัน จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด )